05 มิถุนายน 2549

เตรียมรื้อ"สวนลุมไนท์ฯ"ปี"50 เซ็นทรัล-เจริญ-แสนสิริจ้องฮุบ

สำนักงานทรัพย์สินฯเปิดโผ 3 ตัวเต็ง ฮุบที่ดินผืนยักษ์กลางเมือง 126 ไร่ตรงข้ามสวนลุมพินี กลุ่มเซ็นทรัล-เจริญ สิริวัฒนภักดี และแสนสิริมาแรง เตรียมเจรจารายละเอียดโครงการและผลประโยชน์ตอบแทนก่อนลงลุยพื้นที่หลัง เม.ย.2550 ใจป้ำตั้งกองทุนพัฒนาสังคมใช้เงินถึง 30% ของรายได้รวมทั้งปีนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนพัฒนาที่ดินผืนใหญ่ใจกลางเมือง จำนวน 126 ไร่ บริเวณโรงเรียนเตรียมทหารเก่าถนนวิทยุ ตรงข้ามกับสวนลุมพินีว่า ล่าสุดทางสำนักงานทรัพย์สินฯได้คัดเลือกนักลงทุนที่เสนอแผนพัฒนาโครงการโดยรวมได้แล้ว 3 ราย จากนักลงทุนที่ผ่านคุณสมบัติทั้งหมด 8 รายประกอบด้วย 1.กลุ่มทีซีซีของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี 2.กลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา และ 3.กลุ่มบริษัทแสนสิริ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มทางสำนักงานทรัพย์สินฯจะเรียกมาเจรจาหารือถึงรายละเอียดโครงการแต่ละส่วนที่จะลงทุนมีจุดดึงดูดที่โดดเด่นอย่างไร มีความสวยงามแค่ไหน รวมทั้งผลประโยชน์ตอบแทน ซึ่งผลการเจรจาในขั้นสุดท้ายอาจจะเหลือเพียง 2 กลุ่มหรือ 3 กลุ่มเท่าเดิมก็ได้ เงื่อนไขแต่ละกลุ่มสามารถหาพันธมิตรมาร่วมลงทุนได้รายใหญ่ที่เสนอแผนพัฒนาโครงการมา มีความพร้อมพอสมควรและเข้าใจถึงปัญหาเกี่ยวกับระยะเวลาการรื้อย้ายร้านค้าในโครงการสวนลุมไนท์บาซาร์ที่บริษัท พี.คอน.ดีเวลลอปเม้นท์ (ไทย) จำกัด ได้เช่าพื้นที่ไปดำเนินการ และสำนักงานทรัพย์สินฯได้กำหนดว่าภายในเดือนเมษายน พ.ศ.2550 ต้องรื้อถอนออกไปให้หมด ส่วนโครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่ขนาดใหญ่แห่งนี้จะมีทั้งอาคารสำนักงาน อาคารที่พักอาศัยและศูนย์การค้า คาดว่าจะแบ่งการก่อสร้างออกเป็นหลายเฟส ไม่สร้างพร้อมกันทีเดียว สำหรับแผนงานด้านการพัฒนาสังคมของสำนัก งานทรัพย์สินฯนั้น นายจิรายุกล่าวว่า ในปีนี้ได้ตั้งกองทุนพัฒนาด้านสังคมขึ้นมาโดยจะใช้งบประมาณไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งหมดในแต่ละปี ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากค่าเช่าอาคารพาณิชย์ที่พักอาศัย เงิน ปันผลจากเครือซิเมนต์ไทย และธนาคารไทยพาณิชย์มาช่วยเหลือสังคมหลายด้าน อาทิ การร่วมมือกับภาครัฐ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) สร้างบ้านมั่นคงให้ชุมชนที่อาศัยในที่ดินของทรัพย์สินทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด มีสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี การพัฒนาอาชีพ การให้ทุนการศึกษา ฯลฯ ซึ่งปีที่ผ่านมาใช้งบฯไปประมาณ 10% ของรายได้รวม"ปีนี้สำนักงานทรัพย์สินฯมีแผนที่จะดำเนินการขยายผลโครงการบ้านมั่นคงอย่างต่อเนื่องอีก 34 ชุมชนในเขต กทม. มีการจัดตั้งทีมเคลื่อนที่เข้าไปรับฟังความต้องการในชุมชน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น หากไม่สามารถดำเนินการได้พร้อมจะเป็นหน่วยงานกลางในการประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องช่วยปรับปรุงแก้ไขต่อๆ ไป"ส่วนนโยบายการจัดเก็บค่าเช่าอาคารพาณิชย์ ที่พักอาศัยนั้น ในพื้นที่ที่ไม่มีศักยภาพมีนโยบายจัดเก็บต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 30% หรือเก็บประมาณ 70% ปัจจุบันหลายพื้นที่จัดเก็บเพียง 20 จากราคาตลาด 100 การที่จะเก็บค่าเช่าเพิ่มหลัง ครบสัญญา 3 ปี เป็น 30 ปี ต้องคำนึงถึงค่าครองชีพด้วย ปัจจุบันราคาน้ำมันค่อนข้างสูง บางพื้นที่อาจจัดเก็บไม่ถึง 30 ปี เป็นต้น ซึ่งค่าเช่าที่เก็บได้ในช่วงที่ผ่านมายังต่ำกว่าแผนที่วางไว้ แต่ยังมีอัตราเติบโต"ปีนี้ในเขต กทม.มีสัญญาเช่าที่ดิน-อาคารครบกำหนดประมาณ 8,000 สัญญา จากทั้งหมด ประมาณ 24,000 สัญญา ส่วนในต่างจังหวัดที่ครบสัญญาเช่าปีนี้มีประมาณ 3,000 สัญญา ซึ่งค่าเช่าที่สำนักงานทรัพย์สินฯจัดเก็บในแต่ละปีคิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด" นายจิรายุกล่าว
จากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 05 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3798 (2998)

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก