กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ "อิมพีเรียลแลนด์" ปูพรมสร้างรายได้ระยะยาว ผนึกพันธมิตรรับเหมาแดนอาทิตย์อุทัย-สายการบิน "SHIMISE / เฟรเดอรัล" สัดส่วน 40:40:20 ผุดคอนโดฯ-โรงแรมหรู บนพื้นที่ 16 ไร่ ริมหาดจอมเทียน ค่า 4,000 ล้านบาท หวังสร้างรายได้หล่อเลี้ยงธุรกิจช่วงอสังหาฯขาลง ขณะที่บริษัทลูก ยูนิ อิมพีเรียลแลนด์ หลังพัฒนาโครงการในเมืองเตรียมลงตลาดโรงแรมพัทยาเช่นเดียวกัน
นายสุวรรณ เลิศปัญญาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิ อิมพีเรียลแลนด์ จำกัด เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเครืออิมพีเรียลแลนด์ซึ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเวลาร่วม 10 ปีแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการอิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาท ในซอยสุขุมวิท 101/1 จำนวน 90 ยูนิต บนพื้นที่โครงการทั้งหมด 16 ไร่ มูลค่า 500 ล้านบาท และเพิ่งเปิดขายบ้านยังไม่เป็นทางการร่วม 2 เดือน ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% โดยล่าสุดเพิ่งนำโครงการดังกล่าวไปออกบูธในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 14 ที่ผ่านมา โดยมียอดขาดที่เกิดขึ้นภายในงาน 10 ยูนิต จึงคาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 เดือนจะสามารถปิดการขายได้
สำหรับ อิมพีเรียลแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ โครงการอิมพีเรียล ลากูน่า ไทรน้อย เป็นบ้านเดี่ยวทรงไทย ราคา 2-2.5 ล้านบาท บนพื้นที่ 110 ไร่ จำนวนทั้งสิ้น 400 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800-900 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 เฟส และอยู่ระหว่างการพัฒนาในเฟสหนึ่งและสอง โดยมียอดขายรวม 40% จากจำนวน 160 ยูนิต
ทั้งนี้ บริษัทแม่และบริษัทฯ มีแผนที่จะสร้างรายได้ระยะยาวให้กับองค์กร เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง หากไม่มีธุรกิจอื่นที่เข้ามาช่วยเสริมรายได้ในช่วงขาลงอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท โดยบริษัทแม่นั้นได้เข้าไปซื้อที่ดินจำนวน 5 ไร่ ย่านนาเกลือ อำเภอเมืองพัทยา เพื่อเตรียมที่จะลงทุนพัฒนาโรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 160 ห้อง ในต้นปีหน้า โดยภายในโรงแรมจะมี Aquarium เพื่อเป็นจุดขายให้กับโรงแรม ราคาห้องพักอยู่ประมาณ 2,000 บาทต่อคืน มูลค่าการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท
สำหรับ ยูนิ อิมพีเรียลแลนด์ฯ มีแผนที่จะร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจสายการบิน "เฟรเดอรัล" และรับเหมาก่อสร้าง "SHIMISE" ในสัดส่วน 40:40:20 ตามลำดับ พัฒนาโรงแรมและคอนโดมิเนียม ย่านหาดจอมเทียน จำนวนรวม 500 ยูนิต บนพื้นที่ 16 ไร่ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยคอนโดมิเนียมนั้นจะมีราคาขาย 80,000 บาทต่อตร.ม. ส่วนโรงแรมราคาห้องพักอยู่ที่ 2,000 บาทต่อคืน จะพัฒนาในต้นปีหน้าเช่นกัน
นายสุวรรณ กล่าวต่อว่า อิมพีเรียลแลนด์ถือเป็นกลุ่มพัฒนาที่ดินที่มีหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่ต่ำ อย่างเช่นโครงการอิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท ใช้เงินลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท แต่โครงการใช้เงินกู้เพียง 25% เท่านั้น ที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากบทเรียนในช่วงวิกฤตทำให้ทางกลุ่มมีความระมัดระวังในเรื่องการกู้เงิน และมุ่งพัฒนาโครงการอยู่เฉพาะในย่านโซนตะวันออก เพราะมองว่าภาครัฐให้ความสำคัญโดยเทงบโครงการเมกกะโปรเจ็คส์ต่างๆ ไปยังพื้นที่โซนตะวันออกหลายโครงการ
สำหรับธุรกิจโรงแรมที่ทางกลุ่มอิมพีเรียลแลนด์และบริษัทในเครือ กำลังจะเข้าไปพัฒนา เพื่อต้องการหารายได้ระยะยาวเข้ามาช่วยเสริมในภาวะที่ธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในช่วงขาลง โดยกำหนดสัดส่วนรายได้จากการขายเป็นรายได้หลักอยู่ที่ 80% อีก 10% เป็นรายได้จากการเช่า และ 10% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจโรงกลั่นเอทานอล 95% ที่ได้ร่วมทุนกับโรงไฟฟ้าราชบุรี และบริษัทวีวองคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท พรวิไลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดำเนินธุรกิจโรงกลั่น ภายใต้บริษัท สยามเอทานอล เอกซ์ปอร์ท จำกัด อย่างไรก็ดี ณ สิ้นปีคาดว่าจะมีรายได้จากการโอนบ้านประมาณ 500 ล้านบาท แบ่งเป็นอิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท 300 ล้านบาท และอิมพีเรียล ลากูน่า 200 ล้านบาท
นายสุวรรณ กล่าวต่อว่า แม้ว่าตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาสแรกจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น รวมถึงปัจจัยลบทางการด้านเมือง แต่กำลังซื้อบ้านของผู้บริโภคยังมีอยู่ สังเกตุได้จากโครงการอิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท ที่เพิ่งเปิดการขายเพียง 2 เดือน สามารถมียอดจองถึง 50% อาจเป็นเพราะโครงการอยู่ในทำเลที่ดี และเมื่อเทียบกับโครงการใกล้เคียงที่มีขนาดพื้นที่ต่างกันเล็กน้อยแต่มีราคาขายอยู่ที่ 10 ล้านบาทในขณะที่อิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท ขนาดที่ดิน 50 ตร.ว. ขายอยู่ที่ 5 ล้านบาทเศษ เหตุผลที่บริษัทสามารถขายได้ถูกว่าเพราะที่ดินซื้อไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว จึงมีต้นทุนที่ต่ำกว่าและทำให้ตั้งราคาขายได้ถูกกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในย่านเดียวกัน
ส่วนกำลังซื้อที่ชะลอตัวไป เชื่อว่าหยุดเพื่อรอดูความชัดเจนของภาวะการเมือง ในแง่ของผู้ประกอบการ ตนมองว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสโดยทำให้คู่แข่งขันน้อยลงไปจากตลาด ส่วนผู้ประกอบการที่เหลือหากสินค้าใดสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ยอดขายก็จะไม่มีปัญหา
สำหรับ กลุ่มอิมพีเรียลแลนด์ โดยดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นเวลาร่วม 10 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มผู้พัฒนาโบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ เคยเข้ามาถือหุ้นในอิมพีเรียลแลนด์ เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวจัดสรร พื้นที่ประมาณ 30 ไร่ ภายใต้ชื่อโครงการอิมพีเรียล พาร์ค สวนหลวง ร.9 เมื่อปี 2544 ตามด้วยโครงการอิมพีเรียล เพลส นนทบุรี โดยยูนิเวนเจอร์ฯ เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ทางการเงินเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท ส่วนกลุ่มโบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ เข้ามาถือหุ้นในอิมพีเรียลแลนด์ ในสัดส่วน 10% และนางลาวัลย์ พาณิชภักดี 20% กลุ่มอิมพีเรียลแลนด์เองถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 70%
หลังจากที่กลุ่มอิมพีเรียลแลนด์ มีความแข็งแกร่งทางการเงิน กลุ่มยูนิเวนเจอร์ฯ และกลุ่มโบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ ได้ถอนหุ้นออกไปโดยยูนิเวนเจอร์ฯไปร่วมพัฒนาที่ดินกับบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) แต่ยังคงอนุญาตให้ใช้คำว่า "ยูนิ" นำหน้าบริษัทอยู่ ส่วนทางกลุ่มอิมพีเรียลแลนด์นั้น นายดนุวัศ ปาริสันติ เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรธันยธร ย่านบางบัวทอง และเจ้าของร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์โดยเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 20% และนางลาวัลย์ พาณิชภักดี 10%
นายสุวรรณ เลิศปัญญาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิ อิมพีเรียลแลนด์ จำกัด เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเครืออิมพีเรียลแลนด์ซึ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเวลาร่วม 10 ปีแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการอิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาท ในซอยสุขุมวิท 101/1 จำนวน 90 ยูนิต บนพื้นที่โครงการทั้งหมด 16 ไร่ มูลค่า 500 ล้านบาท และเพิ่งเปิดขายบ้านยังไม่เป็นทางการร่วม 2 เดือน ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% โดยล่าสุดเพิ่งนำโครงการดังกล่าวไปออกบูธในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 14 ที่ผ่านมา โดยมียอดขาดที่เกิดขึ้นภายในงาน 10 ยูนิต จึงคาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 เดือนจะสามารถปิดการขายได้
สำหรับ อิมพีเรียลแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ โครงการอิมพีเรียล ลากูน่า ไทรน้อย เป็นบ้านเดี่ยวทรงไทย ราคา 2-2.5 ล้านบาท บนพื้นที่ 110 ไร่ จำนวนทั้งสิ้น 400 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800-900 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 เฟส และอยู่ระหว่างการพัฒนาในเฟสหนึ่งและสอง โดยมียอดขายรวม 40% จากจำนวน 160 ยูนิต
ทั้งนี้ บริษัทแม่และบริษัทฯ มีแผนที่จะสร้างรายได้ระยะยาวให้กับองค์กร เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง หากไม่มีธุรกิจอื่นที่เข้ามาช่วยเสริมรายได้ในช่วงขาลงอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท โดยบริษัทแม่นั้นได้เข้าไปซื้อที่ดินจำนวน 5 ไร่ ย่านนาเกลือ อำเภอเมืองพัทยา เพื่อเตรียมที่จะลงทุนพัฒนาโรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 160 ห้อง ในต้นปีหน้า โดยภายในโรงแรมจะมี Aquarium เพื่อเป็นจุดขายให้กับโรงแรม ราคาห้องพักอยู่ประมาณ 2,000 บาทต่อคืน มูลค่าการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท
สำหรับ ยูนิ อิมพีเรียลแลนด์ฯ มีแผนที่จะร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจสายการบิน "เฟรเดอรัล" และรับเหมาก่อสร้าง "SHIMISE" ในสัดส่วน 40:40:20 ตามลำดับ พัฒนาโรงแรมและคอนโดมิเนียม ย่านหาดจอมเทียน จำนวนรวม 500 ยูนิต บนพื้นที่ 16 ไร่ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยคอนโดมิเนียมนั้นจะมีราคาขาย 80,000 บาทต่อตร.ม. ส่วนโรงแรมราคาห้องพักอยู่ที่ 2,000 บาทต่อคืน จะพัฒนาในต้นปีหน้าเช่นกัน
นายสุวรรณ กล่าวต่อว่า อิมพีเรียลแลนด์ถือเป็นกลุ่มพัฒนาที่ดินที่มีหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่ต่ำ อย่างเช่นโครงการอิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท ใช้เงินลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท แต่โครงการใช้เงินกู้เพียง 25% เท่านั้น ที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากบทเรียนในช่วงวิกฤตทำให้ทางกลุ่มมีความระมัดระวังในเรื่องการกู้เงิน และมุ่งพัฒนาโครงการอยู่เฉพาะในย่านโซนตะวันออก เพราะมองว่าภาครัฐให้ความสำคัญโดยเทงบโครงการเมกกะโปรเจ็คส์ต่างๆ ไปยังพื้นที่โซนตะวันออกหลายโครงการ
สำหรับธุรกิจโรงแรมที่ทางกลุ่มอิมพีเรียลแลนด์และบริษัทในเครือ กำลังจะเข้าไปพัฒนา เพื่อต้องการหารายได้ระยะยาวเข้ามาช่วยเสริมในภาวะที่ธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในช่วงขาลง โดยกำหนดสัดส่วนรายได้จากการขายเป็นรายได้หลักอยู่ที่ 80% อีก 10% เป็นรายได้จากการเช่า และ 10% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจโรงกลั่นเอทานอล 95% ที่ได้ร่วมทุนกับโรงไฟฟ้าราชบุรี และบริษัทวีวองคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท พรวิไลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดำเนินธุรกิจโรงกลั่น ภายใต้บริษัท สยามเอทานอล เอกซ์ปอร์ท จำกัด อย่างไรก็ดี ณ สิ้นปีคาดว่าจะมีรายได้จากการโอนบ้านประมาณ 500 ล้านบาท แบ่งเป็นอิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท 300 ล้านบาท และอิมพีเรียล ลากูน่า 200 ล้านบาท
นายสุวรรณ กล่าวต่อว่า แม้ว่าตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาสแรกจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น รวมถึงปัจจัยลบทางการด้านเมือง แต่กำลังซื้อบ้านของผู้บริโภคยังมีอยู่ สังเกตุได้จากโครงการอิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท ที่เพิ่งเปิดการขายเพียง 2 เดือน สามารถมียอดจองถึง 50% อาจเป็นเพราะโครงการอยู่ในทำเลที่ดี และเมื่อเทียบกับโครงการใกล้เคียงที่มีขนาดพื้นที่ต่างกันเล็กน้อยแต่มีราคาขายอยู่ที่ 10 ล้านบาทในขณะที่อิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท ขนาดที่ดิน 50 ตร.ว. ขายอยู่ที่ 5 ล้านบาทเศษ เหตุผลที่บริษัทสามารถขายได้ถูกว่าเพราะที่ดินซื้อไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว จึงมีต้นทุนที่ต่ำกว่าและทำให้ตั้งราคาขายได้ถูกกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในย่านเดียวกัน
ส่วนกำลังซื้อที่ชะลอตัวไป เชื่อว่าหยุดเพื่อรอดูความชัดเจนของภาวะการเมือง ในแง่ของผู้ประกอบการ ตนมองว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสโดยทำให้คู่แข่งขันน้อยลงไปจากตลาด ส่วนผู้ประกอบการที่เหลือหากสินค้าใดสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ยอดขายก็จะไม่มีปัญหา
สำหรับ กลุ่มอิมพีเรียลแลนด์ โดยดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นเวลาร่วม 10 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มผู้พัฒนาโบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ เคยเข้ามาถือหุ้นในอิมพีเรียลแลนด์ เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวจัดสรร พื้นที่ประมาณ 30 ไร่ ภายใต้ชื่อโครงการอิมพีเรียล พาร์ค สวนหลวง ร.9 เมื่อปี 2544 ตามด้วยโครงการอิมพีเรียล เพลส นนทบุรี โดยยูนิเวนเจอร์ฯ เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ทางการเงินเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท ส่วนกลุ่มโบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ เข้ามาถือหุ้นในอิมพีเรียลแลนด์ ในสัดส่วน 10% และนางลาวัลย์ พาณิชภักดี 20% กลุ่มอิมพีเรียลแลนด์เองถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 70%
หลังจากที่กลุ่มอิมพีเรียลแลนด์ มีความแข็งแกร่งทางการเงิน กลุ่มยูนิเวนเจอร์ฯ และกลุ่มโบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ ได้ถอนหุ้นออกไปโดยยูนิเวนเจอร์ฯไปร่วมพัฒนาที่ดินกับบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) แต่ยังคงอนุญาตให้ใช้คำว่า "ยูนิ" นำหน้าบริษัทอยู่ ส่วนทางกลุ่มอิมพีเรียลแลนด์นั้น นายดนุวัศ ปาริสันติ เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรธันยธร ย่านบางบัวทอง และเจ้าของร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์โดยเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 20% และนางลาวัลย์ พาณิชภักดี 10%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2117 28 พ.ค. - 31 พ.ค. 2549
1 ความคิดเห็น:
อ่านแล้ว
แสดงความคิดเห็น