14 สิงหาคม 2549

สคบ.เตือนระวังถูกริบเงินจองแนะทำข้อตกลงก่อนซื้อบ้าน

"สคบ." แนะผู้ซื้อบ้านทำข้อตกลงกับทางโครงการก่อนทำสัญญา แก้ปัญหาถูกริบเงินจองกรณีกู้แบงก์ไม่ผ่านหลังพบผู้บริโภคยังแห่ร้องเรียนต่อเนื่อง เผยจากสถิติที่ผ่านมาโอกาสได้เงินคืนน้อยหากไม่มีระบุในสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนทางด้านความคืบหน้ากรณีลูกบ้าน "ธารารมณ์" ร้องเรียนว่าโครงการนำพื้นที่ส่วนกลางไปพัฒนาขาย ล่าสุดผู้บริหารได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่าได้ขออนุญาตจัดสรรไว้ถูกต้อง แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากสถิติปัญหาการร้องเรียนผ่าน สคบ.ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้านในปีนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่ามีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับกรณี "กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน" และถูกยึดเงินจองเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยมีสาเหตุมาจาก 2 ส่วน คือ 1)ลูกค้ากู้ไม่ผ่าน หรือ 2)กู้ได้ไม่เต็มจำนวนที่ต้องการ จึงตัดสินใจขอคืนเงินจอง แต่ปรากฏว่าในตอนทำสัญญาไม่ได้ระบุข้อความไว้เป็นหลักฐานส่วนสาเหตุที่มีเรื่องร้องเรียนกรณีถูกยึดเงินจองเข้ามามากขึ้น อาจเป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมาสถาบันการเงินและธนาคารต่างๆ ได้หันมาเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น กรณีที่ลูกค้ามีรายชื่อในเครดิตบูโร เช่น เคยผิดการชำระเงินงวดบัตรเครดิต ทางธนาคารก็อาจพิจารณาไม่ปล่อยกู้ให้ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาจองให้รอบคอบ เนื่องจากตามกฎหมายไม่ได้กำหนดให้เจ้าของโครงการต้องระบุข้อความว่าต้องคืนเงินให้กับลูกค้ากรณีที่กู้ไม่ผ่าน เท่ากับว่ากรณีที่ผู้ซื้อบ้านไม่มั่นใจว่าจะกู้แบงก์ผ่านหรือกู้ได้ไม่เต็มจำนวน ก็ควรทำข้อตกลงเพิ่มเติมกับทางโครงการและมีลายเซ็นกำกับเป็นหลักฐาน ไม่ควรตกลงแค่เพียงปากเปล่าเท่านั้น รวมถึงต้องลงรายละเอียดให้ชัดเจน เช่น ถ้ากู้แบงก์ได้ไม่ถึง 80% ของราคาบ้าน ทางโครงการยินดีคืนเงินจองให้ เป็นต้น"กรณีที่ได้รับการร้องเรียน สคบ.ก็จะเป็นตัวกลางเรียกคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายมาไกล่เกลี่ย แต่ที่ผ่านมาพบว่าผู้ร้องเรียนส่วนใหญ่มักไม่ได้รับเงินคืน เนื่องจากไม่ได้ระบุข้อความเป็นหลักฐานในสัญญาจองหรือบางรายก็ตกลงแค่เพียงปากเปล่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ทางโครงการยินดีคืนเงินจองให้ภายหลังแต่บางรายก็ไม่เต็มจำนวน"แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับการกู้ซื้อบ้านไม่ผ่านและถูกริบเงินจอง ล่าสุด สคบ.เพิ่งได้รับการร้องเรียนจากตัวแทนลูกบ้านประมาณ 20 ราย ในโครงการธารารมณ์ บางกะปิ พารค์เวย์โฮม ไพรเวทโซน และการ์เด้นสวีท (ซอยรามคำแหง 150)ต้องการให้ทางโครงการหยุดการก่อสร้างอาคารในพื้นที่บริเวณด้านหน้าโครงการ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่โล่งสีเขียวที่จัดไว้เป็นพื้นที่ส่วนกลาง เนื่องจากรบกวนการเดินทางเข้า-ออกโครงการและต้องการรักษาสภาพแวดล้อมในโครงการไว้อย่างเดิมสำหรับกรณีนี้ สคบ.ได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ย เพื่อเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาเจรจาไกล่เกลี่ยกันในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ หากตกลงกันได้ก็ถือว่าจบ แต่หากตกลงกันไม่ได้และทางผู้ร้องเรียนต้องการฟ้องศาล ก็จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณาต่อไป โดยต้องเข้าหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ 1)เป็นการละเมิดสิทธิลูกบ้านตามที่ร้องเรียนจริงหรือไม่ โดยต้องตรวจสอบว่าที่ดินบริเวณนั้นแต่เดิมถูกขออนุญาตจัดสรรเป็นพื้นที่ส่วนกลางหรือเพื่อขาย และ 2)เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่ ทั้งนี้ ภายหลังจากลูกบ้านได้เข้าร้องเรียนกับ สคบ. นายวสันต์ เคียงศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า ตามที่มีการร้องเรียนจากลูกบ้านกลุ่มหนึ่งในโครงการบ้านธารารมณ์ บางกะปิ ที่ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาที่ดินบริเวณด้านหน้าโครงการ ทางบริษัทขอชี้แจงว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวบริษัทมีนโยบายที่จะดำเนินการพัฒนาให้เป็นที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ตั้งแต่แรกโดยได้ปรับเปลี่ยนจากบ้านตัวอย่างของโครงการบ้านธารารมณ์ บางกะปิ มาสร้างเป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่ออกแบบใหม่ในชื่อโครงการพาร์คเวย์ อเวนิว ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตให้จัดสรรและปลูกสร้างอย่างถูกต้อง ตามใบอนุญาตจัดสรรเลขที่ 156/2546 และใบอนุญาตก่อสร้างเลขที่ ขสพ.143/2549 โดยการพัฒนาโครงการบริษัทคำนึงถึงสภาพแวดล้อม และความเป็นอยู่ของลูกบ้านเป็นสำคัญ จึงตัดสินใจพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยว แทนการพัฒนาทาวน์เฮาส์หรือคอนโดฯซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่านอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่บริเวณด้านหน้าโครงการ ซุ้มทางเข้า และป้อมยามให้สวยงามขึ้น รวมถึงเพิ่มที่จอดรถจักรยานและรถยนต์ และอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานเขตสะพานสูงเพื่อขยายผิวจราจรและปรับปรุงทางเท้า ซึ่งรายละเอียดต่างๆ บริษัทได้ชี้แจงให้ลูกบ้านรับทราบผ่านทางคณะกรรมการหมู่บ้าน แต่ปรากฏว่าลูกบ้านบางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาโครงการดังกล่าว ซึ่งบริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอนใจได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ระดับบริหารเข้าชี้แจงกับลูกบ้านเพื่อรับฟังปัญหาและข้อสงสัย โดยพร้อมที่จะปรับรายละเอียดของโครงการเพื่อให้เกิดความสบายใจแก่ลูกบ้านแต่กลับได้รับการปฏิเสธผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาลูกค้ายื่นขอสินเชื่อซื้อบ้านจากสถาบันการเงินแล้วถูกปฎิเสธให้สินเชื่อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2548 อยู่ในระดับ 10-20% เพิ่มเป็น 20-25% ในปี 2549 ทำให้สมาคมอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 3 สมาคมต้องทำหนังสือหารือสมาคมธนาคารไทยและภาครัฐขอให้มีการผ่อนปรนเงื่อนไขในการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งสมาคมธนาคารไทยได้รับข้อเรียกร้องไว้พิจารณา แต่ถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
จากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3818 (3018)

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก