09 กรกฎาคม 2549

'ราศี'เทกโอเวอร์รีสอร์ทหรูแดนกีวี + ดัน"เลอบัว"สู่เวทีโลก หลังเขี่ยเชนเมอร์ริทัส พ้นสเตททาวเวอร์


ตระกูลบัวเลิศ ทุ่มงบ 400 ล้านบาท เทคโอเวอร์รีสอร์ทหรูริมทะเลสาบโอคาเรก้า นิวซีแลนด์ ขยายแบรนด์บริหารโรงแรม "เลอบัว"ออกสู่ตลาดโลก หลังสลัดทิ้งเชนเมอร์ริทัส จากสเตททาวเวอร์ รีแบรนด์โฉมเป็น "เลอบัว สเตททาวเวอร์" พร้อมเร่งปรับปรุงใหม่คาดแล้วเสร็จธันวานี้ ชูจุดขายห้องสวีททุกและเซอร์วิสต่างๆจะใช้ท็อปแบรนด์อินเตอร์ อาทิบลุการี เจาะกลุ่มลูกค้าเศรษฐี-กลุ่มขับเครื่องบินเจต ทั้งอัพราคาห้องพักขึ้นเท่าตัว
นายดีภัค โอหริ ผู้จัดการทั่วไปและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แชลเลนจ์ ฮอลพิทอลลิตี้ จำกัด ในฐานะผู้บริหารโรงแรมเลอบัว สเตททาวเวอร์และธุรกิจอาหารภายใต้แบรนด์เดอะ โดม เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทได้เข้าไปซื้อกิจการรีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาว ชื่อ "โอคาเรก้า เลคเฮ้าท์ " บริเวณทะเลสาบโอคาเรก้า ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อขยายเชนบริหารโรงแรม "เลอบัว"ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นมา ออกสู่การบริหารโรงแรมในต่างประเทศ โดยได้ลงทุนไปจำนวน 10 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ(400 ล้านบาท)
ทั้งนี้รีสอร์ทแห่งนี้จะมีห้องพักเพียง 5 หลังเท่านั้นเป็นบ้านพักริมทะเลสอบโอคาเรก้า เจาะตลาดกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง และจะเปลี่ยนชื่อรีสอร์ทใหม่เป็น "โอคาเรก้าเลคเฮ้าท์ บาย เลอบัว" ในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ พร้อมทั้งมีแผนจะปรับราคาขายห้องพักขึ้นเป็น1หมื่นดอลล่าร์นิวซีแลนด์จากเดิมที่รีสอร์ทแห่งนี้ขายห้องพักในราคา 6พันดอลล่าร์นิวซีแลนด์ ซึ่งการบริการจะมีการนำพนักงานคนไทยให้ไปให้บริการและนำพ่อครัวไทยจากเดอะโดม ไปทำอาหารให้ลูกค้าด้วย ซึ่งรีสอร์ทได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี โดยมียอดจองห้องพักเต็มไปจนถึงเดือนมี.ค.50 แล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนจะขยายเชนเลอบัวสู่การบริหารโรงแรมในต่างประเทศอีกหลายแห่ง ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารงานของนางรัฐวดี บัวเลิศ ประธานบริษัท (ลูกสาวนางราศี บัวเลิศ) ที่ต้องการพัฒนาแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลก จึงได้มีการสร้างแบรนด์ "เลอบัว" ซึ่งมีความหมายมาจากคำว่าดอกบัวดอกไม้ที่มีคุณค่าของไทย และอีกนัยหนึ่งมาจากนามสกุลบัวเลิศ โดยมุ่งที่จะนำจุดเด่นการบริการแบบไทยๆเพื่อคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยมาเป็นจุดแข็งของแบรนด์เลอบัว
หลังจากที่บริษัทได้พัฒนาการบริหารโรงแรมภายใต้เชนเลอบัวเป็นแรกที่โรงแรมซึ่งตั้งอยู่ในอาคารสเตททาวเวอร์ แทนจากเดิมที่เคยจ้างเชนMeritus มาให้บริหารโรงแรมแมริทัส สวีท สเตททาวเวอร์เป็นเวลากว่า 2 ปี ก่อนปรับมาเป็นโรงแรมเลอบัว สเตททาวเวอร์เมื่อเดือนก.พ.49 และบริษัทได้ทุ่มงบลงทุนอีกกว่า 200 ล้านบาท ในการทยอยปรับปรุงโรงแรมใหม่ทั้งหมด คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค.นี้
สำหรับโฉมใหม่ของโรงแรมเลอบัว สเตททาวเวอร์ จะเป็นการผสมผสานศิลปะระหว่างตะวันออกและตะวันตก ภายใต้แนวทางการพัฒนาที่เน้นความเรียบหรูเป็นหลัก โดยจุดเด่นของโรงแรม จะอยู่ที่มีห้องพักทั้งหมด 198 ห้องจะเป็นห้องสวีททั้งหมด ขนาดตั้งแต่ 66-266 ตรม. ราคาขายห้องพักจะเริ่มต้นที่ 190-550 ดอลลาร์สหรัฐ++หรือประมาณ 7,600-22,000 บาท++ และห้องพักทุกห้องจะเห็นทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาและวิวกรุงเทพฯ
นอกจากนี้อุปกรณ์ภายในห้องจะใช้สินค้าระดับเอ็กซ์คูลซีพแบรนด์ทั้งหมด เช่น ผลิตภัณฑ์ภายในห้องน้ำ สบู่ ครีมอาบน้ำ แชมพู ครีมนวดจะใช้ของบุลการี ผลิตภัณฑ์ Petrossion จากฝรั่งเศสและRoyal Saluteในมินิบาร์ หมอนขนนก ผ้าปูที่นอนทอด้วยผ้าคอทตอล 330 เส้นต่อตารางนิ้ว จากปกติ 220 เส้นต่อตารางนิ้ว ซึ่งถือเป็นผ้าปูที่นอนที่นุ่มที่สุด นอกจากนี้สินค้าภายในโรงแรมและห้องอาหารจะต้องเป็นสินค้าระดับหรูทั้งหมด อาทิ WYBOROWA จากประเทศโปแลนด์ซึ่งจะเป็นเครื่องดื่มที่สำหรับงานปาร์ตี้ในฮอลลิวู้ดเท่านั้น
เช่นเดียวกับน้ำดื่มภายในห้องพักก็จะใช้ยี่ห้อ VOSS น้ำดื่มจากนอร์เวย์ที่ได้ชื่อว่าใสที่สุดในโลก เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงเป็นหลัก ได้แก่ กลุ่มมหาเศรษฐีจำนวน 8.9 ล้านคนในโลกที่พร้อมจ่ายหากทราบถึงความต้องการ กลุ่มสังคมระดับสูงในแต่ละประเทศ (Hi-society) กลุ่มคนที่มีรายได้สูงของแต่ละประเทศหรือมีรายได้กว่า 1.5 แสนดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือกว่า6ล้านบาทต่อปี
นายดีภัค ยังกล่าวต่อว่า การปรับปรุงโรงแรมใหม่ตามแนวทางการพัฒนาดังกล่าว เป็นไปตามการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคว่าต้องการอะไรจากโรงแรมใน 5 ประการ ได้แก่ 1.ความปลอดภัย โดยทางโรงแรมมีกล้องที่สามารถซูมใกล้ไกลและสามารถเห็นชัดทุกการเคลื่อนไหวในทุกชั้น 2.ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห้องพัก 3.ความสะดวกสบายขณะพักผ่อน 4.อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งโรงแรมมีห้องอาหารเดอะโดม ที่ได้รับรางวัลต่างๆมากมาย ทั้งซีรอคโค เมซซาลูน่าและดิสทิลบาร์ เป็นต้น 5.การบริการ เน้นการบริการแบบไทยๆซึ่งเรามีพนักงานทั้งหมด 730 คน จาก 14 สัญชาติ แต่สำหรับแผนกในการประสานงานกับลูกค้าจะต้องเป็นคนไทยทั้งหมด
ส่วนแผนการตลาดในปีนี้ บริษัทได้ทุ่มงบอีกกว่า 120 ล้านบาทในการบุกตลาดต่างประเทศมีการขายผ่านเครือข่าย GDS (Global Distribution System) และตัวแทนการขายในญี่ปุ่น ฮ่องกง เยอรมัน อังกฤษ ออสเตรเลีย ทั้งยังได้มีการโปรโมทด้วยการออกบูธในงานเทรดโชว์ใหญ่ทั่วโลก อาทิ WTM อังกฤษ ITB เยอรมัน มีการโฆษณาผ่านนิตยสารElite Traveler ซึ่งเป็นนิตยสารที่วางในเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวทุกลำและชั้นเฟิร์ทคลาสของสายการบินบริติสแอร์เวย์ เป็นต้น โดยสัดส่วนลูกค้าของโรงแรมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ นักท่องเที่ยว 30% นักธุรกิจ 50% และกลุ่มที่มีเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว 20%
อย่างไรก็ตามบริษัทประเมินว่าในปีนี้โรงแรมน่าจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยราว 55-60% เพราะในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มีอัตราเข้าพักต่ำกว่า 30% เนื่องจากราคาห้องพักเฉลี่ยมีการปรับตัวสูงขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน(4,400 บาทต่อคืน) จากเดิม 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน( 2,400 บาทต่อคืน)ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ราว 900 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากอาหารและเครื่องดื่ม 60%และห้องพัก 40%
ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีอัตราเข้าพักประมาณ 80% เนื่องจากปรับปรุงโรงแรม ห้องจัดเลี้ยง พร้อมเปิดร้านอาหารใหม่เสร็จเรียบร้อยในช่วงปลายปี อาทิ ห้องอาหารคาเฟ่ โมซูและแชมเปญเล้าจ์ เปิดให้บริการก.ย.นี้ ห้องอาหารบรีซ เปิดให้บริการได้พ.ย.นี้ และห้องจัดเลี้ยง และจากนั้นมีแผนขยับราคาห้องพักเฉลี่ยขึ้นไปเป็น 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน(6,000 บาทต่อคืน)ประเมินรายได้ในปีหน้าไว้ที่ 1.8 พันล้านบาท
รวมทั้งในส่วนของธุรกิจด้านร้านอาหารและเครื่องดื่มของบริษัทนั้น ล่าสุดมีแผนที่จะขยายการบริหารห้องอาหารในรีสอร์ทหรูที่จังหวัดภูเก็ตจำนวน 12 แห่ง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง นายดีภัค กล่าวในที่สุด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2129 09 ก.ค. - 12 ก.ค. 2549

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก