18 มิถุนายน 2549

แมทธิว บัคส์บอม : จากเจ้าของร้านชำ สู่เจ้าพ่อ มอลล์ 'ผมเรียนรู้จากความผิดพลาด'


สหรัฐอเมริกา นับเป็นประเทศที่เป็นต้นแบบในการพัฒนาพร็อพเพอร์ตี ที่เป็นมอลล์(Mall)ขนาดใหญ่ ภายใต้คอนเซ็ปที่เพียบพร้อมไปด้วยพื้นที่เปิด อาคารลักษณะยาว พลาซ่า น้ำตก และสันทนาการต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนอเมริกา หนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังและสร้างชื่อเสียงจากการพัฒนา มอลล์ ลักษณะนี้ คือ เจเนอรัล โกรวธ์ พร็อพเพอร์ตี(General Growth Properties:GGP) เจ้าของและผู้พัฒนาช้อปปิ้ง มอลลร์ รายใหญ่อันดับสองของสหรัฐฯขณะนี้ มี แมทธิว บัคส์บอม (Mathew Bucksbaum) นั่งเป็นประธานบริษัท
ปัจจุบัน จีจีพี ถือหุ้น และบริหารพอร์ตการลงทุน ช้อปปิ้งมอลล์รวม 185 แห่งสหรัฐฯ มีพื้นที่รวมกันกว่า 150 ล้านตารางฟุต ยังไม่รวมพื้นที่ร้านค้าปลีกอีกกว่า 16,000 แห่งทั่วประเทศ ขณะนี้เป็นบริษัทลงทุนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เมื่อปี 2515
จีจีพี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2497 โดย พี่น้องตระกูลบัคส์บอม ประกอบด้วย เมาริช, มาร์ติน และแมทธิว ที่ตัดสินใจขายกิจการร้านชำของครอบครัว รวม 5 แห่ง เพื่อนำเงินไปสร้างช้อปปิ้ง มอลล์ แห่งแรก ที่เมืองซีด้าร์ แรปปิดส์ รัฐไอโอวา ในระยะสิบปีต่อมาพี่น้องบัคส์บอมขยายสาขาไดเพิ่มเป็น 5 แห่ง และขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท เจเนอรัล เมเนจเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น จนถึงปี 2513 ได้นำหุ้นไปแลกหุ้นใน บริษัท รีล เอสเตต อินเวสต์เม้นท์ ทรัสต์(REIT) ชื่อ เจเนอรัล โกรวธ์ พร็อพเพอร์ตี ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาและบริหาร สินทรัพย์ที่ Real Estate Investment Trust( REIT) ลงทุนไว้
ต่อมาในปี 2527 จีจีพี ขายมอลล์ 19 แห่งให้กับ อีคิวเทเบิล เป็นเงิน 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการซื้อขายสินทรัพย์มูลค่ามากที่สุดในสหรัฐขณะนั้น นับตั้งแต่นั้นมาจีจีพี ก็กว้านซื้อช้อปปิ้ง มอลล์ทั่วประเทศมาปรับปรุงและพัฒนาใหม่ จนกระทั่งถึงปี 2547 จึงออกไปลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการร่วมทุนพัฒนาพร็อพเพอร์ตีในบราซิล คอสตาริก้า และเวเนซูเอล่า
ยุทธศาสตร์ก้าวสู่ความสำเร็จของ จีจีพี เกิดจากการนำช้อปปิ้ง มอลล์ ที่เข้าไปซื้อ ลงทุนปรับปรุงเปลี่ยนใหม่ ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความสวยงาม และอื่นๆ โดยจะบริหารเอง รวมทั้งรับจ้างบริหารมอลล์อื่นๆ
เคยมีคนถาม แมทธิว ว่า ทำไมมอลล์ที่เขาซื้อ และนำมาปรับปรุง พัฒนาใหม่ถึงประสพความสำเร็จทุกแห่ง เขา ตอบว่า เกิดจากการตัดสินใจที่ไม่ได้แตกต่างกับคนอื่นๆนัก คือ ดูว่า มอลล์ที่ซื้อมานั้นจะทำเงินได้หรือไม่ โดยพิจารณาจากโครงการที่ซื้อว่าเป็นโครงการที่เคยบริหารจัดการ ต่ำกว่ามาตรฐาน และเมื่อนำมาพัฒนาศักยภาพก็จะสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้เพิ่มขึ้น "เราเรียนรู้ความสำเร็จ จากความผิดพลาดในอดีต"
ปัจจุบัน แมทธิว อายุ 79 ปีเขา เป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องไวน์ ชอบเล่นเทนนิส และขี่จักรยานระยะ 5-10 ไมล์ ส่วนงานบริหารที่เคยนั่งในตำแหน่งซีอีโอ ได้มอบหมายให้ลูกชาย คือ จอห์น บัคส์บอม ตอนนี้อายุ 49 ปี เข้ามาบริหารงานแทนตั้งแต่ปี 2542 และหลุยส์ บัคส์บอม หลานชาย อายุ 47 ปี นั่งเป็นรองประธานดูแลด้านการพัฒนา และ ยีน บัคส์บอม อายุ 51 ปี บุตรบุญธรรม เป็นผู้จัดการมอลล์ เบลลิ่งแฮม วอชิงตัน
แมทธิวได้รับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ที่มอบให้ด้วยความยกย่องจาก มหาวิทยาลัยไอโอวา และปี 2540 เขาได้รับรางวัล " Outstanding CEO" จาก Realty Stock Review และรางวัลผู้บริหารรีเทลพร็อพเพอร์ตีแห่งปี จาก คอมเมอร์เชี่ยล พร็อพเพอร์ตี นิวส์ ขณะที่ จอห์นกล่าวถึง แมทธิว ผู้เป็นพ่อว่า ไม่เพียงเป็นต้นแบบของตนเท่านั้นแต่ยังเป็นต้นแบบให้คนอื่นๆที่ได้ทำงานด้วย จากการเรียนรู้หลายๆอย่างจากพ่อ
ที่ผ่านมา ตระกูลบัคส์บอมได้ชี้ให้เห็นว่า การลงทุนอย่างฉลาดในพร็อพเพอร์ตีเก่า นำมาแปลงโฉมและปรับรูปแบบใหม่ สามารถทำเงินได้ ส่วนการที่จะรับมือกับปัญหาท้าทายในระยะ 5-10 ปีข้างหน้านั้น แมทธิวให้แง่คิดว่า " สิ่งท้าทายอนาคต คือ การค้าเสรี ซึ่งตอนนี้เรากำลังเห็นภัยจากการค้าเสรี และคาดหวังว่า จะสามารถปรับตัวตามได้ แม้กระบวนการปรับตัวนั้นจะต้องเจ็บปวดมากก็ตาม"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2123 18 มิ.ย. - 21 มิ.ย. 2549

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก